วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

1.ชื่อเรื่อง (the title)


          พจน์ สะเพียรชัย (2549 : 23) กล่าวว่า ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทาการศึกษาวิจัย ว่าทาอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร ยกตัวอย่างเช่น ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในตลาดนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมในกรณีที่จาเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากๆ อาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อในตอนแรกมีน้าหนักความสาคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยาย เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคของนักเรียนชาย : การเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนอาชีวศึกษากับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร2547”   นอกจากนี้ ควรคานึงด้วยว่าชื่อเรื่องกับเนื้อหาของเรื่องที่ต้องการศึกษาควรมีความสอดคล้องกันการเลือกเรื่องในการทาวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สาคัญ ที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากผลของการวิจัย ในการเลือกหัวเรื่องของการวิจัย มีข้อควรพิจารณา 4 หัวข้อ คือ
          1 ความสนใจของผู้วิจัยควรเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจมากที่สุด และควรเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป
          2 ความสาคัญของเรื่องที่จะทาวิจัยควรเลือกเรื่องที่มีความสาคัญ และนาไปใช้ปฏิบัติหรือสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ได้โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านการท่องเที่ยวหรือเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยว
          3 เป็นเรื่องที่สามารถทาวิจัยได้เรื่องที่เลือกต้องอยู่ในวิสัยที่จะทาวิจัยได้ โดยไม่มีผลกระทบอันเนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่นด้านจริยธรรม ด้านงบประมาณ ด้านตัวแปรและการเก็บข้อมูล ด้านระยะเวลาและการบริหาร ด้านการเมือง หรือเกินความสามารถของผู้วิจัย
          4 ไม่ซ้าซ้อนกับงานวิจัยที่ทามาแล้วซึ่งอาจมีความซ้าซ้อนในประเด็นต่างๆ ที่ต้องพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยง
            ได้แก่ ชื่อเรื่องและปัญหาของการวิจัย (พบมากที่สุด) สถานที่ที่ทาการวิจัย ระยะเวลาที่ทาการวิจัย วิธีการ หรือระเบียบวิธีของการวิจัย

           ภัทรา  นิคมานนท์ (2548 : 13)  ให้ความหมายของ การประมวลเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ว่า เป็นการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยที่ผู้วิจัยต้องการทำในแง่มุมต่างๆ เพื่อหาประเด็นของเรื่องที่จะทำวิจัยว่า มีความหมายอย่างไร  มีองค์ประกอบใดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผู้วิจัยจะทำบ้าง  มีทฤษฎีอะไรบ้างที่กล่าวถึงเรื่องของปัญหาการวิจัยนั้น  ปัญหาการวิจัยนั้นผู้วิจัยควรศึกษาในขอบข่ายที่กว้างขวางเพียงไร  และควรศึกษาในแง่มุมใดจึงจะน่าสนใจ  มีใครทำวิจัยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจจะทำอยู่แล้วบ้าง  งานวิจัยนั้นศึกษากับกลุ่มตัวอย่างใด  มีวิธีการศึกษาอย่างไร  ผลการวิจัยเป็นอย่างไร       ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าดังกล่าวจะเป็นแนวทางในการกำหนดแบบแผนของการวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำต่อไปได้

           เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์ (2534 : 32) กล่าวว่า ต้องเป็นชื่อที่กะทัดรัด มีเนื้อความที่ชัดเจน มีความหมายในตัวมันเอง โดยสามารถสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบได้ต้องตั้งชื่อให้แสดงถึงมโนมติ (Concept)ของตัวแปรหรือแสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรในปัญหานั้นๆ ต้องใช้ภาษาให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยของผู้อื่น ถึงแม้ประเด็นที่ศึกษาจะคล้ายกันก็ตาม

           สรุป
           ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัย ว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร  ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากๆ อาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อในตอนแรกมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยาย  นอกจากนี้ ควรคำนึงด้วยว่าชื่อเรื่องกับเนื้อหาของเรื่องที่ต้องการศึกษาควรมีความสอดคล้องกันการเลือกเรื่องในการทำวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากผลของการวิจัย

           ที่มา
พจน์ สะเพียรชัย. (2549). หลักเบื้องต้นสาหรับการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : วิทยาลัย
          วิชาการศึกษา ประสานมิตร.
ภัทรา นิคมานนท์. (2548). การประเมินผลการเรียน. กรุงเทพมหานคร : ทิพยวิสุทธิ์.
เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์. (2534). การวิจัยเทคโนโลยีการศึกษา.  กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น