เรืองอุไร ศรีนิลทา (2535 : 236) ได้กล่าวว่าภาคผนวกเป็นตอนสุดท้ายของรายงานวิจัย
ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ความจำเป็น หลักการทั่วไปเกี่ยวกับภาคผนวกได้แก่
ภาคผนวกคือที่สำหรับรวบรวมข้อมูลและข้อสนเทศทั้งหลาย
ที่ไม่ถึงกับจำเป็นที่จะต้องเสนอไว้ในตัวเรื่อง แต่ก็อาจจะมีความสำคัญในการขยายความสาระสำคัญบางสาระเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น
และข้อมูลและข้อสนเทศที่สำคัญมากที่ควรเสนอไว้ในตัวเรื่อง
แต่จำนวนรายการของข้อมูลหรือข้อสนเทศชุดนั้นมากเกินไป
จึงไม่เหมาะแก่การนำเสนอในตัวเรื่อง
Jipatar (http://blog.eduzones.com/jipatar/85921) กล่าวว่า ภาคผนวก (appendix) สิ่งที่นิยมเอาไว้ที่ภาคผนวก เช่น แบบสอบถาม
แบบฟอร์มในการเก็บหรือบันทึกข้อมูล เมื่อภาคผนวก มีหลายภาค ให้ใช้เป็น ภาคผนวก ก
ภาคผนวก ข ฯลฯ แต่ละภาคผนวก ให้ขึ้นหน้าใหม่
พรศรี ศรีอัษฎาพรและยุวดี วัฒนานนท์ (2529 :
161) ได้กล่าวว่าภาคผนวกอาจมีหรือไม่มีก็ได้
แต่ถ้ามีสิ่งใดที่มีความสำคัญ
และไม่ต้องการให้สื่อความหมายหรือความเข้าใจไปพร้อมกับการอ่านรายงาน
ให้นำไปใส่ไว้ในภาคผนวก เช่น แบบสอมถาม แบบสัมภาษณ์ แบบฟอร์มการเก็บรวบรวมข้อมูล
หรือตารางบางตาราง
สรุป
ภาคผนวกเป็นที่สำหรับรวบรวมข้อมูลและข้อสนเทศทั้งหลาย
ที่ไม่ถึงกับจำเป็นที่จะต้องเสนอไว้ในตัวเรื่อง
แต่ก็อาจจะมีความสำคัญในการขยายความสาระสำคัญบางสาระเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่จำนวนรายการของข้อมูลหรือข้อสนเทศชุดนั้นมากเกินไป
จึงไม่เหมาะแก่การนำเสนอในตัวเรื่อง และภาคผนวกเป็นตอนสุดท้ายของรายงานวิจัย
ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ความจำเป็น
อ้างอิง
พรศรี ศรีอัษฎาพรและยุวดี วัฒนานนท์. (2529). สถิติและการวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สามเจริญพานิช.
เรืองอุไร ศรีนิลทา. (2535). ระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพฯ : สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมมหาวิทยาลัย.
Jipatar. [ออนไลน์]. http://blog.eduzones.com/jipatar/85921. เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2555.